เยี่ยมชมเว็บไซต์ BenQ Education สำหรับโซลูชันด้านการศึกษา

4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเลือกโปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่เหมาะสําหรับธุรกิจของคุณ

  • BenQ
  • 2021-05-03

ปัญหาในการประชุมร่วมกันทำให้คุณต้องเหน็ดเหนื่อยจนหมดแรงและขาดสมาธิหรือไม่ การมีอุปกรณ์ส่วนตัวหลายเครื่องเป็นการรบกวนการประชุมของคุณบ่อยเกินไปหรือไม่ ถ้าอย่างนั้น อาจถึงเวลาที่คุณต้องอัปเกรดสภาพแวดล้อมการประชุมของคุณเพื่อการทํางานร่วมกันและประสิทธิภาพการทํางานที่ดีขึ้น วิธีที่ยอดเยี่ยมในการทําสิ่งนี้ก็คือการใช้โปรเจคเตอร์อัจฉริยะ

โปรเจคเตอร์อัจฉริยะเป็นโซลูชันแบบครบวงจรที่ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่หลากหลาย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ประสิทธิผล และการทำงานร่วมกันในห้องประชุม แต่ด้วยจํานวนโปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่มีในตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะเลือกโปรเจคเตอร์ที่เหมาะกับการประชุมทางธุรกิจของคุณได้อย่างไร

เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม เราได้จัดเตรียม 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการค้นหาโปรเจคเตอร์ที่เหมาะสําหรับการประชุมของคุณ คราวนี้เรามาดูด้านต่าง ๆ ของโปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่คุณควรตรวจสอบ ก่อนตัดสินใจซื้อกัน

4 ขั้นตอนในการเลือกโปรเจคเตอร์อัจฉริยะแบบไร้สายที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีจะช่วยให้การอ่าน USB การติดตั้งแอป และการนําเสนอแบบไร้สายสามารถทำได้อย่างง่ายดายและราบรื่น

ขั้นตอนที่ 1: สนับสนุน BYOD ในการประชุม

โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีจะคำนึงถึงแนวโน้มทางธุรกิจล่าสุดและให้การสนับสนุน ด้วยการนําอุปกรณ์ส่วนตัวของคุณมาใช้ (Bring Your Own Device, - BYOD) ทั่วทั้งบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีจําเป็นต้องแก้ปัญหาความท้าทายที่เกิดจาก BYOD โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุม

โปรเจคเตอร์นั้นควรเข้ากันได้กับอุปกรณ์ Windows, Android, macOS และ iOS เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาความเข้ากันได้เกิดขึ้นในระหว่างการประชุม เนื่องจากความหลากหลายของอุปกรณ์ที่มีอยู่ในการประชุมใด ๆ ในปัจจุบัน

โปรเจคเตอร์อัจฉริยะควรช่วยอํานวยความสะดวกในสภาพแวดล้อมที่ใช้ไดรเวอร์น้อยลงและมีฟังก์ชันการทํางานด้านภาพที่ดีเยี่ยมโดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปเพิ่มเติม โปรเจคเตอร์ต้องช่วยให้สามารถฉายจากโทรศัพท์มือถือและแล็ปท็อปของผู้ใช้ได้โดยตรง ดังนั้น การฉายจึงทำได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ไม่เกิน 2 ขั้นตอนโดยใช้ Google Chrome

โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีเยี่ยมยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้ให้เป็นรีโมทคอนโทรล เพื่อให้ทีมของคุณสามารถจัดการโปรเจคเตอร์ได้โดยตรงตามความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ของตนเอง 

ขั้นตอนที่ 2: เปิดใช้งานสภาพแวดล้อมการประชุมที่ไม่ต้องใช้พีซี

สาเหตุหลักที่ทำให้บรรดาผู้จัดการในปัจจุบันสั่งห้ามการนำโทรศัพท์มือถือและแล็ปท็อปเข้ามาในการประชุมก็เป็นเพราะอาจเป็นการรบกวนสมาธิ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทํางานลดลง เพื่อแก้ปัญหานี้ โปรเจคเตอร์อัจฉริยะควรสร้างสรรค์ห้องประชุมที่ไม่จำเป็นต้องใช้พีซี ขณะเดียวกันก็เป็นไปตามข้อกำหนดของการประชุม

ในการจัดให้มีการประชุมโดยไม่ต้องใช้พีซี โปรเจคเตอร์อัจฉริยะควรมีระบบจัดการบัญชี (AMS) ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าถึงและจัดการไฟล์ต่าง ๆ ของบริษัทได้โดยตรงผ่านระบบคลาวด์ และควรมีพอร์ต USB และรองรับการฉายไฟล์รูปแบบหลักทั้งหมดโดยตรงโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อื่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยตรงเป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งที่ควรมีในโปรเจคเตอร์อัจฉริยะ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องมีขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยากหรือพึ่งพาอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการระดมความคิดเห็น โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่มีแอปพลิเคชันทางธุรกิจในตัวนั้นเหมาะอย่างยิ่งสําหรับการสร้างสรรค์การประชุมที่ไม่ต้องใช้พีซี นอกจากนี้ ยังควรอนุญาตให้ฝ่ายไอทีสามารถติดตั้งแอปเพิ่มเติมเพื่อรักษาความปลอดภัยขององค์กรและทําให้โปรเจคเตอร์มีความทันสมัย

ขั้นตอนที่ 3: ส่งมอบประสิทธิภาพการทำงานและลดความยุ่งยากด้านไอที

แม้ว่าโปรเจคเตอร์อัจฉริยะจะนําประสิทธิภาพการทำงานและประสิทธิผลมาสู่ห้องประชุม แต่โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีเยี่ยมจะต้องช่วยลดภาระงานของฝ่ายไอทีและช่วยให้ปลดภาระการสนับสนุนทางเทคนิคของพนักงานของคุณ ด้วยการลดปัญหาการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ทำให้โปรเจคเตอร์อัจฉริยะสามารถช่วยให้บุคลากรฝ่ายไอทีลดเวลาในการบำรุงรักษางานด้านการรักษาความปลอดภัยขององค์กรและงานสำคัญอื่น ๆ ลง ขณะที่ทีมงานอื่น ๆ ของคุณก็สามารถจัดการประชุมที่มีประสิทธิภาพได้โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนด้านไอที

โปรเจคเตอร์อัจฉริยะของคุณต้องมีระบบการจัดการอุปกรณ์ (DMS) DMS ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถเข้าถึงจากระยะไกลและควบคุมการตั้งค่าในโปรเจคเตอร์แต่ละเครื่องหรือแม้แต่เป็นกลุ่ม โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีควรเปิดโอกาสให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ผ่านอินเทอร์เน็ต (OTA) เพื่อลดเวลาและความพยายามในการบํารุงรักษาสําหรับฝ่ายไอที และรับประกันประสิทธิภาพการทํางานที่ดีที่สุดได้อย่างยาวนาน 

ขั้นตอนที่ 4: ข้อมูลจําเพาะด้านความสว่างและการฉายภาพที่สอดคล้องกับขนาดห้องประชุม

ไม่มีโปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ มีเพียงเครื่องที่เหมาะสําหรับสถานที่ที่คุณจะใช้งาน และแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับห้องประชุมและสภาพแวดล้อมการฉายภาพ ในแง่ของขนาดห้อง ข้อกําหนดเรื่องแสง และจํานวนผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งก็มีผลต่อตำแหน่งการวางโปรเจคเตอร์ด้วยเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงโปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่เป็นไปได้ สิ่งสําคัญคือคุณต้องทราบถึงขนาดห้องประชุมและคุณลักษณะที่โปรเจคเตอร์ฉายอัจฉริยะต้องมี โดยเฉพาะเรื่องความสว่างของโปรเจคเตอร์และจํานวนผู้ที่ต้องการดูเนื้อหาอย่างสะดวกสบาย โปรเจคเตอร์ที่สว่างไม่มากพอจะไม่สามารถให้ภาพที่ชัดเจนในพื้นที่มีแสงสว่างโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่หรือสถานที่จัดการประชุมเฉพาะกิจ

สําหรับห้องประชุมขนาดเล็กหรือพื้นที่ที่มีผู้เข้าร่วมน้อยกว่า 10 คน โปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่มีค่าความสว่างในช่วง 3,000-3,500 ลูเมนนั้นเหมาะสําหรับการฉายภาพที่ชัดเจนไปพร้อมกับการประหยัดพลังงาน เนื่องจากการประชุมเหล่านี้จัดขึ้นในห้องขนาดเล็ก คุณจําเป็นต้องมีโปรเจคเตอร์อัจฉริยะมีระยะฉายใกล้ปกติ หรือมีความสามารถในการแสดงภาพ เช่น ขนาด 80 นิ้ว โดยอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย 

หากคุณวางแผนที่จะใช้โปรเจคเตอร์อัจฉริยะของคุณในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชมสัมมนาที่มีผู้เข้าร่วม 20 คน คุณควรใช้โปรเจคเตอร์ที่มีกําลังสูงกว่า เอาต์พุตการฉายภาพในกรณีนี้ควรอยู่ที่ประมาณ 4,000 ลูเมน ความสว่างเท่านี้จะให้การมองเห็นที่ชัดเจนขึ้นในหน้าจอขนาดใหญ่ แม้ในสภาพแวดล้อมที่สว่างมาก เนื่องจากห้องเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้น โปรเจคเตอร์อาจต้องวางนอกตำแหน่งจุดศูนย์กลางเมื่อเทียบกับหน้าจอหรือผนัง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขภาพสี่เหลี่ยมคางหมูในแนวตั้ง (Vertical Keystone) โดยที่เลนส์ของโปรเจคเตอร์อัจฉริยะจะปรับระดับและเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อมอบประสบการณ์การรับชมที่สมดุล 

สรุป

การตัดสินใจว่าเราควรลงทุนซื้อโปรเจคเตอร์อัจฉริยะเครื่องใดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราหวังว่าบทความของเราจะทําให้คุณได้ทราบแนวทางที่ถูกต้อง และได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สําคัญเกี่ยวกับโปรเจคเตอร์อัจฉริยะที่ดีที่สุดสําหรับการประชุมทางธุรกิจของคุณ

โปรเจคเตอร์สำหรับการประชุมสัมมนา
โปรเจคเตอร์อัจฉริยะ BenQ
สําหรับการทำงาน